Home ข้อคิดสอนใจ คนเรามี…ไม่เท่ากันหรอก กับ “ต้นทุนชีวิต”

คนเรามี…ไม่เท่ากันหรอก กับ “ต้นทุนชีวิต”

“แม่ครับ ผมไม่เรียนแล้ว ผมจะออกมาทำนาช่วยแม่”

นางลูบหัวลูกชายสุดที่รักด้วยความเอ็นดู แล้วพูดว่า

“แม่รู้ว่าลูกรู้สึกยังไง ขอบใจมาก แต่ลูกต้องเรียนหนังสือ จงวางใจเถิด

 

แม่ให้กำเนิดเจ้ามา แม่ก็เลี้ยงดูเจ้าได้ ไปรายงานตัวก่อน

ส่วนข้าวส ารนั้น แม่จะเอาไปให้วันหลัง ลูกไม่ต้องห่วง”

“ให้ผมออกจากโรงเรียนเถอะ ผมจะมาช่วยแม่ทำงาน”

ลูกชายยังคงยืนยันคำตอบเดิม

 

“เพี๊ยะ!”

เ สียงมือของนางกระทบใบหน้าของลูกชาย นี่เป็นครั้งแรกที่นางตบหน้า

ลูกชายวัย 16 ปี ลูกชายก้มหน้าร้องไห้ออกจากบ้านไป

 

นางมองลูกชายด้วยความรู้สึกผิด น้ำตาแห่งความสงส ารก็ไหลออกมาอาบแก้ม

สามีของนางจากไปตั้งแต่ลูกชายอายุได้ 7 ขวบ แต่นางไม่ได้แต่งงานใหม่

เพราะกลัวว่าสามีใหม่จะไม่รักลูกของนาง

 

นางยอมอดทนหาเลี้ยงตัวเองและลูก ด้วยการทำนา ปลูกผัก รับจ้างบ้างในบางครั้ง

ลูกชายของนางเป็นเ ด็กเรียนดี ดูได้จากใบประกาศและถ้วยรางวัล

ถูกวางซ้อนกันบนตู้เก็บของจนแทบจะไม่มีที่วางแล้ว

 

นางยิ้มได้ทุ กครั้งที่เห็นลูกตั้งใจอ่ านหนังสือและทำการบ้าน

เมื่อลูกชายของนางจบมัธยมต้น ก็สอบเข้าโรงเรียนประจำอำเภอได้

ตอนนี้นางเป็นโรครูมาตอยด์

 

ทางโรงเรียนมีมติว่าให้ผู้ปกครองนำข้าวส ารมาให้โรงเรียน 30 กิโล

เพื่อเป็นค่าเล่าเรียนเมื่อลูกชายรู้ว่าแม่ทำนาและรับจ้างต่อไปไม่ไหว จึงไม่อย ากเรียนต่อ

ด้วยความรู้สึกสงส ารแม่ของตัวเอง เพราะเหตุนี้ นางจึงตบหน้าลูกไปในวันนี้

 

ไม่นานต่อมา

ทางโรงเรียนก็ได้ต้อนรับคุณแม่ผู้มาสาย นางแบกถุงข้าวส าร

เดินมาด้วยอาการกะเผลกอาจารย์ผู้รับผิดชอบเปิดถุงข้าวส ารเพื่อตรวจเช็ค

เมื่อกำเอาข้าวส ารขึ้นมาดู เขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า

 

“ผู้ปกครองอย่ างพวกคุณ ชอบเอาเปรียบโรงเรียนแบบนี้เหรอ ดูสิ ๆ นี่อะไร มีทั้งข้าวจ้าว

ข้าวเหนียว ข้าวก่ำ ข้าวหักฯ พวกคุณเห็นโรงเรียนของเราเป็นถังข้าวผสมเหรอ?”

เมื่อได้ฟังอาจารย์พูด นางก็ก้มหน้าด้วยความละอาย เอาแต่พูดว่า “ขอโ ทษค่ะ ๆ”

 

เมื่ออาจารย์เห็นดังนั้น ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่รับข้าวส ารกระสอบนั้นไว้อย่ างไม่เต็มใจนัก

นางล้วงมือเข้าไปในถุงใบเก่า ๆ เล็ก ๆ ใบหนึ่ง พร้อมกับหยิบเอาเศษเหรียญ

ออกมาหนึ่งกำมือยื่นให้อาจารย์

“อาจารย์คะ นี่เป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือนนี้ของลูกชายอิฉัน

ขอรบกวนอาจารย์ช่วยเก็บไว้ให้เขาหน่อยนะคะ”

 

อาจารย์ยืนมือไปรับไว้และก็ส่ายหัวไปมา “คุณขายไข่ปิ้งเหรอ ?” อาจารย์พูดเย าะ

นี่เป็นครั้งที่สองที่นางต้องก้มหน้าด้วยความอาย ได้แต่พูดว่า

“ขอบคุณค่ะ ๆ” แล้วก็เดินกะเผลก ๆ ออกไป

 

ต้นเดือนที่ 2

นางก็แบกข้าวส ารมาให้โรงเรียนเหมือนครั้งที่แล้ว เมื่ออาจารย์

คนเดิมเปิดถุงข้าวส ารออกมา ก็ต้องขมวดคิ้วเหมือนครั้งก่อน

 

เพราะมันเป็นข้าวส ารรวมมิตรเหมือนเดิมอีกแล้ว เขาคิดในใจว่านางคงฟังไม่เข้าใจแน่ ๆ

ครั้งนี้จะต้องพูดให้นางเข้าใจอย่ างชัดเจน

“ถ้าเป็นข้าวส าร เรารับไว้แน่นอน แต่ต้องแยกประเภท ไม่ใช่ปนกันมาอย่ างนี้

 

ครั้งหน้าอย่ าทำอย่ างนี้อีกนะ หากครั้งหน้ายังเป็นอย่ างนี้อีก ผมจะไม่รับนะ”

เมื่อนางได้ยินก็ต กใจเป็นอย่ างยิ่ง “อาจารย์คะ

ข้าวส ารที่บ้านของเราเป็นอย่ างนี้ จะทำยังไงดี ?”

 

เมื่ออาจารย์ได้ยินก็หัวเราะด้วยความรู้สึกขำ แล้วก็ถามกลับไปว่า

“จะบ้าเหรอ บ้านของคุณทำนายังไงปลูกข้าวได้หลายชนิดในแปลงเดียวกัน”

โดนฉีกหน้าอย่ างนี้ นางรู้สึกจุกที่ลำคอ ไม่รู้จะพูดอะไรดี

อาจารย์คนนั้นก็เดินจากไปแบบไม่ใยดี

 

ต้นเดือนที่ 3

นางก็มาอีก เมื่ออาจารย์คนนั้นได้เห็นข้าวส ารที่ยังเหมือนเดิมอยู่

ก็โมโหเป็นอย่ างยิ่ง ตะคอกออกไปอย่ างข าดสติว่า

“โอ๊ย! อะไรกันเนี่ย ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง? ทำไมยังเอาข้าวผสมกันมาอีกแล้ว เอาไปเลยนะ

 

เอากลับไปเลย แบกมายังไงก็แบกกลับไปอย่ างนั้น ฉันไม่รับอีกแล้ว!”

นางคุ กเข่าลงไปกับพื้นทันที ร้องไห้ออกมาอย่ างไม่อายใคร “อาจารย์คะ

 

ฉันขอบอกตามความจริง ข้าวเหล่านี้ ฉันไปขอ… ไปขอทานมาค่ะ”

อาจารย์คนนั้นยืนตะลึงอ้าปากค้าง พูดไม่ออก ได้แต่กรอกตาไปมา

 

นางนั่งอยู่กับพื้น ถลกขากางเกงขึ้นมาให้อาจารย์เห็นขาทั้งสองข้างที่บิดเบี้ยว

ไม่ได้รูป อีกทั้งบวมเป่ง นางเอามือปาดน้ำตาแล้วพูดว่า

“ฉันเป็นโรครูมาตอยด์ระยะที่ 3 แม้แต่จะเดินก็ลำบากมาก ไหนเลยจะทำนาได้อีก

 

ลูกชายของฉันเป็นเ ด็กรู้ความ จะลาออกจากโรงเรียนออกมาช่วยฉันทำนา

ถูกฉับตบหน้าถึงได้กลับมาเรียนต่อ”

 

นางเล่าว่า นางไม่กล้าบอกความจริงกับลูกและญาติ ๆ ของนาง

เพราะกลัวว่าลูกชายและญาติจะอับอาย ทุ ก ๆ

 

วันตอนเช้ามืด นางจะเดินทางออกจากบ้านไปยังห มู่

บ้านอื่นหลายสิบกิโลเพื่อขอข้าวส าร

 

จากนั้นก็ต้องรอให้พ ระอาทิตย์ต กดินแล้ว นางถึงจะกลับมาที่บ้าน

เมื่อได้ข้าวมา นางจึงเอามารวมกันในถังข้าวส าร นางก้มหน้าเล่าไปร้องไห้ไป

โดยไม่รู้ว่าอาจารย์คนนั้นก็ร้องไห้น้ำตาอาบแก้มเหมือนกับนาง

 

เขาคุ กเข่าลงไปพยุงนางขึ้นมา “คุณเป็นแม่ที่ประเสริฐเสี ยจริง

ผมจะไปรายงานให้อาจารย์ใหญ่ทราบ ขอให้ทางโรงเรียนนำเงิ นมาช่วยเหลือคุณและครอบครัว”

 

เมื่อนางได้ยิน นางรีบโบกไม้โบกมือ “อย่ านะคะ อย่ าทำอย่ างนั้น

หากลูกของฉันรู้ว่าฉันไปขอข้าวเพื่อมาเลี้ยงเขาเขาจะอับอาย อย่ าบอกใครนะคะ

อาจารย์เมตตาอิฉัน อิฉันขอขอบพ ระคุณ ขอให้อาจารย์เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะคะ อย่ าได้บอกใคร”

 

เมื่อนางกลับไปแล้ว เรื่องของนางก็ถึงหูของอาจารย์ใหญ่

อาจารย์ใหญ่จึงงดเก็บค่าเทอมของลูกชายนางทั้ง 3 ปี

 

หลังจาก 3 ปีผ่ านไป

ลูกชายของนางก็สอบติ ดมหาวิทย าลัยที่มีชื่อเสี ยง ด้วยคะแนนที่สูงลิ่ว

ในวันมอบใบประกาศนียบัตร อาจารย์ใหญ่ได้เชิญว่าที่นักศึกษา

 

ลูกชายของนางขึ้นเวที ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนัก

เพราะเพื่อนที่เรียนเก่งและได้คะแนนดีกว่าเขา

ทำไมไม่ถูกเรียก แต่กลับเป็นเขาที่ถูกเรียกขึ้นเวทีแทน

 

บนเวทีมีกระสอบพลาสติกเก่า ๆ 3 ใบวางไว้ อาจารย์ใหญ่

ให้อาจารย์ที่อยู่ประจำโรงอาหารขึ้นมาเล่าเรื่อง

“แม่ขอข้าวส่งลูกเรียนหนังสือ”

 

ให้ทุ กคนฟัง ทุ กคนต่างก็นั่งน้ำตาซึมไม่มีเสี ยงพูดใด ๆ

อาจารย์ใหญ่ชี้มือไปที่กระสอบทั้ง 3 ใบแล้วพูดว่า

“นี่คือข้าวส าร 3 กระสอบที่คุณแม่ท่านนั้นออกไปขอทานมา

 

นี่คือข้าวส ารที่ไม่อาจใช้เ งินซื้อหามาได้ ตอนนี้ขอเชิญคุณแม่ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ขึ้นมาบนเวที”

ว่าที่นักศึกษามองไปข้างล่างเวที ก็เห็นอาจารย์ที่อยู่ประจำโรงอาหารพยุงคุณแม่

 

ของเขาเดินขึ้นเวทีมา ไม่มีใครรู้ว่าบุตรชายของนางคิดอะไรอยู่

เมื่อแม่ของเขามาหยุดยืนอยู่ต่อหน้า เขาก็คุ กเข่าลงไปกราบแม่และพูดว่า

“แม่ครับ…ผมขอโ ทษ”

 

ที่มา : นุสนธิ์บุคส์

ขอบคุณ : aansanook

Comments are closed.

Check Also

แนวคิด10 ข้อ สอนลูกให้ได้ดี เติบโตไปจะได้ไม่ลำบาก

เรื่องราวสอนใจ เผิงลี่หยวน เธอได้แสดงความคิดเห็น กับเรื … …